เนื้อผ้าของสูทแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ ผ้าที่ไม่ใช่ผ้าขนสัตว์ และ ผ้าขนสัตว์
ผ้าที่ไม่ใช่ผ้าขนสัตว์
ผ้าฝ้าย, ลินิน, โลลิเอสเต้อร์, ไม่โครไฟเบอร์, สแปนเดกซ์, และ เทฟลอนเนื่องจาก เมืองไทยอากาศค่อนข้างร้อน ดังนั้นจึงขอพูดถึง ผ้าที่เหมาะกับเมืองไทยคือ ผ้าฝ้ายและลินิน เพราะว่าเป็นผ้าเนื้อเบา ระบายอากาศได้ดี
ผ้าฝ้ายข้อดี : ผ้าฝ้ายที่เนื้อดีจะตัดสูทได้ดูดี แต่ถ้าจะให้ดีควรเป็นผ้าฝ้ายที่ปนกับ lycra เพราะว่าจะเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับตัวผ้า สูทจะคงตัวได้ดี และรูปทรงไม่เสียง่าย
ข้อเสีย : ซีดง่ายและยับง่าย แต่ก็ยังไม่ง่ายเท่าผ้าลินิน
ผ้าลินินข้อดีของสูทผ้าลินิน : เป็นผ้าสูทที่เหมาะสำหรับหน้าร้อน ระบายอากาศได้ดี น้ำหนักเบา
ข้อเสีย : เปื้อนง่ายมากๆ ยับง่าย ไม่เหมาะกับท่องเที่ยว
ผ้าขนสัตว์
Tweedข้อดี : อุ่นข้อเสีย : หนัก คนอ้วนใส่แล้วจะดูตัวใหญ่เกินไป เพราะผ้าหนา
Flannelข้อดี : ทนทาน อุ่น เหมาะสำหรับเป็นสูทใส่หน้าหนาว สีที่นิยมคือสีเทาเข้ม หรือมีลายเส้นนิดๆ
ข้อเสีย : ผ้าเนื้อหนา
Tropicalข้อดี : น้ำหนักเบาถึงเบามาก เป็นผ้าวูลที่เหมาะสำหรับอากาศที่ร้อน
ข้อเสีย : เนื่องจากน้ำหนักเบา จึงยับง่าย (แต่ไม่ง่ายอย่างลินิน)
Worstedworsting คือกระบวนการการคัดเลือกเส้นวูลที่สั้นๆออกจากการทอ ทำให้ได้เส้นวูลที่ยาว ซึ่งผ้าจะเรียบและเนียนกว่าทนกว่าการทอโดยใช้เส้นด้ายสั้นบ้างยาวบ้าง ผ้าที่ผ่านกรรมวิธีนี้เป็นผ้าที่เหมาะที่สุดสำหรับคนที่เพิ่งจะมีสูทเป็นชุดแรก น้ำหนักจะเบาถึงปานกลาง เหมาะกับอากาศบ้านเรา และ คนที่ทำงานในห้องแอร์ สำหรับเมืองไทยควรเลือกแบบที่ทอน้ำหนักเบาหน่อย ราคาอาจจะแพงสักนิด แต่คุ้มกว่า เพราะว่าทนนาน และใช้ได้หลายโอกาส
ข้อดี : มีความทนทานสูง ทนยับ และใส่ได้ตลอดปี มีทั้งแบบน้ำหนักเบาและปานกลาง เลือกได้หลายแบบ
ข้อเสีย : ไม่มี
ราคาและคุณภาพของผ้า
ราคาและคุณภาพของผ้าขึ้นอยู่กับ 1)วัตถุดิบที่เอามาทำผ้า 2)ลักษณะการทอของผ้า1) วัตถุดิบที่เอามาทำผ้า ถ้าขนของสัตว์นั้นหายากมันก็ย่อมแพง เช่น lamb wool กับ cashmere wool
2) ลักษณะการทอผ้า ยิ่งทอละเอียดมากเท่าไหร่ ผ้าก็จะยิ่งทนและราคาแพงขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ผ้าที่ทอ 60-80 twists ก็ย่อมถูกกว่าและไม่เนียนเท่าผ้าที่ทอด้วย 120 twists ผ้าสูทปกติควรจะเป็นการทอตั้งแต่ 100 twists ขึ้นไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น